|
แก้ไขล่าสุดโดย booboo เมื่อ 19-3-2010 15:36
LCD TV
LCD (Liquid Crystal Display) แสดงภาพโดยเริ่มจากแหล่งกำเนิดแสง Backlight ส่องแสงไปที่ผลึกเหลว (ลักษณะคล้ายๆปีโป้) ที่หยอดเอาไว้ระหว่างช่องกระจกจะถูกกระตุ้นด้วยไฟฟ้า ทำให้โมเลกุลของลิควิดคริสตัลในส่วนของจุดภาพ พิกเซล (pixel) นั้นหมุนเป็นมุม 90 องศา เพื่อให้เกิดได้ทั้งจุดสว่าง และจุดมืด (แต่ละพิกเซลไม่สามารถกำเนิดแสงได้เอง) หากเรากล่าวว่าเทคนิคของLCD คือการบิดตัวโมเลกุล แล้วเอาเงาของมันมาใช้งานก็ถือว่าถูกต้องอย่างที่สุด LCD ทีวีจะมีหลายขนาดมากๆ ไล่ตั้งแต่ 15 นิ้ว ไปจนถึง 108 (ของSharp เค้านะครับ) นิ้วโน้นเลยนะครับ
ข้อดีของ LCD TV
1. ให้สี่ที่สว่างสดใสเหมาะกับการแสดงสีกราฟฟิก เช่น การ์ตูน , สารคดี และละคร
2. เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์
3. เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่นหรือ ห้องรับแขก (หรือท่านที่จะซื้อเพื่อใช้ไปติดตั้งในร้านค้าหรือร้านอาหาร แอลซีดี ทีวีก็จะเหมาะสมกว่า)
4. อาการ Burn-In จะไม่โอกาสไม่เกิดขึ้นเลย
5. แอลซีดีทีวียังกินไฟน้อยกว่าด้วยนะครับ
PLASMA TV
PLASMA จอภาพแบบพลาสม่าทีวี แสดงภาพโดยการใช้แสงที่เกิดจากการแตกตัว ionized ของ neon gas (นีออน)เพื่อแสดงผลของภาพออกมาที่แผงหน้าจอ ภายในจอภาพมีองค์ประกอบที่เต็มไปด้วย neon gas (แต่ละพิกเซลกำเนิดแสงได้เอง) Plasma ทีวี จะเน้นทำแต่ ขนาดใหญ่ๆครับ 42 นิ้วขึ้นไป จนถึงขนาด 150 นิ้ว (ของPanasonic เค้านะครับ) แต่ถ้าจะถามหา พลาสม่าทีวีขนาดที่เล็กกว่า 42 นิ้ว ก็ต้องไปถามหากับทาง LG เค้าละครับเพราะเค้าเป็นยี่ห้อเดียวในขณะนี้ที่ วางจำหน่าย พลาสม่าทีวี ขนาด 32 นิ้ว อยู่
ข้อดีของ Plasma TV
1. สามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวเร็วๆได้ดีกว่า เนื่องจากมี Response Time .001 ms จึงเหมาะกับการใช้รับชมภาพยนตร์ Action และการรับชมกีฬาเป็นอย่างมาก
2. อายุการใช้งาน ยาวนานกว่าที่ 100,000 ชั่วโมง (Half Brightness)
3. สามารถแสดงระดับพื้นสีดำได้ดีกว่า
4. มีคอนทราสต์ที่สูงกว่าทำให้เห็นมิติของภาพได้ดีกว่า
5. มุมมองจอภาพที่กว้างกว่า แอลซีดี
6. ให้สีที่ถูกต้องเป็นธรรมชาติ มากกว่า สีออกโทนอุ่น
ข้อเสียของ Plasma TV
1. อาการ Burn-In มีโอกาสเกิดขึ้นได้ถ้าเปิดภาพนิ่งเป็นเวลานานๆ เช่นโลโก้ช่อง 7 หรือโลโก้ True Vision เป็นต้น (ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการนำไปเป็น Monitor ของคอมพิวเตอร์)
2. ไม่เหมาะสำหรับใช้ในห้องที่สว่างสูง เช่นห้องนั่งเล่น หรือกลางแจ้ง
3. หน้ากระจก ทำให้เกิดการสะท้อนเป็นเงาได้
4. กินไฟมากว่าทั้งจากตัวทีวีเอง และการทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้นเพราะ Plasma TV มีความร้อนออกมาจากตัวเครื่องมากกว่า
และเจ้าตัวมาใหม่ LED TV ครับ
LED TV
ต่อเลยกับเจ้า LED TV นั้นความจริงแล้วก็คือ LCD TV นี่แหละครับ เพราะการทำงานทั้งเกือบทั้งหมดจะเหมือนๆกันแต่ LED TV จะต่างกับ LCD TV ตรงที่ LCD TV จะใช้หลอดไฟ CCFL หรือ Cold Cathode Fluorescent Lamp ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆหลอดกาแฟ เรียงในแนวนอนยาวลงมาเป็นตัวกำเนิดแสง แต่ LED ที่ย่อมาจากคำว่า Light Emitting Diode ใช้หลอด LED เป็นตัวกำเนิดแสง หลายท่านอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องเปลี่ยนมาใช้หลอด LED แทนผมมีคำตอบให้ครับ หลอด CCFL ที่ใช้กับ LCD TV นั้นกินไฟค่อนข้างมากและมีความร้อนค่อนข้างสูง และในบางครั้งทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า "แสงรั่ว" เช่นฉากในหนังตอนมืดๆ บริเวณที่มืดๆ ดำๆ ควรจะดำสนิทแต่อาการแสงรั่ว จะทำให้บริเวณนั้นออกเทาๆ ม่วงๆ ทำให้เสียอรรถรสในการรับชมบริษัทผู้ผลิตต่างๆ พยายามแก้ปัญหาดังกล่าว โดยการหาแหล่งกำเนิดแสงอื่นๆ ที่สามารถควบคุมได้ กินไฟน้อยกว่า แต่ให้ความสว่างมากกว่า และได้พบว่าหลอด LED นั้นคือตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดครับ
เนื่องจากหลอด LED กินไฟน้อยกว่า ให้แสงที่สว่างกว่า และที่สำคัญคือ สามารถเลือกเปิด/ปิด หลอดแต่ละบริเวณได้ การทำงานของจอ LED ก็ยังใช้ Liquid Crystral ผลึกแข็งกึ่งเหลว 3 สีในการสร้างสีในแต่ละพิกเซลอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นตามหลักการแล้วมันก็คือ LED LCD TV นั่นเอง เพียงแต่สลับจากการใช้หลอด CCFL ให้เป็นหลอด LED เพื่อใช้กำเนิดแสงถ้านึกภาพตัวหลอด LED ไม่ออกก็ลองนึกถึงหลอดไฟที่ใช้กับตัวสัญญาณไฟจราจรดูก็ได้ครับเพราะเป็นหลอดแบบเดียวกัน สำหรับตัว LED TV นั้นก็จะมีอยู่หลายแบบหลายชนิด และมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันครับ
CREDIT : http://www.lcdtvthailand.com, http://www.reviewnuts.com |
คะแนน
-
1
ดูบันทึกคะแนน
-
|